การกินเจที่แท้จริงนั้น ไม่เพียงแต่การเว้นบริโภคเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่ยังต้องสวดมนต์ รักษาศีลไปพร้อมกันด้วย ไม่ใช่ว่ากินเจค่ะ แต่ว่าพอสามีกลับบ้านดึก ก็ปาไม้ตีพริกเสียสามีหัวร้างข้างแตกขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นการกินเจที่ไม่สมบูรณ์ค่ะ นอกจากนี้ ยังต้องชำระร่างกายให้สะอาดบริสุทธิ์ นุ่งขาว ห่มขาวให้สุภาพเรียบร้อย สำรวมกิริยา วาจา ไม่กล่าวถ้อยอันจะก่อให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจแก่ผู้ใด ไม่พูดจาส่อเสียดหรือหยาบโลน และต้องทำจิตใจให้ปราศจาก อาการอิจฉาริษยาใดๆ ด้วยนะคะ ดูไปก็คล้ายว่าจะยากค่ะ แต่หากลองทำดูจริงๆ แล้วอาจจะค้นพบว่า ช่วงเวลาที่เรามีความสุขที่สุด ก็คือช่วงเวลาที่เรามีจิตใจสงบสุขนี่แหละค่ะ ถึงได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ว่าคนที่รักษาศีลกินเจนั้นมีผิวพรรณที่ผุดผ่อง สาเหตุไม่ได้มาจากสารอาหารประเภทวิตามินจากพืชผักเท่านั้น แต่มาจากสภาพภายในจิตใจที่สงบงามนั่นด้วยค่ะ ถึงได้มีแนวความคิดที่ว่า Beauty builds in อย่างไรละคะ
หลายคนอาจจะยังสับสนอยู่ว่ากินเจ กับกินมังสวิรัติ นี้ มีความเหมือน หรือความต่างกันอย่างไร หรือความจริงก็คือว่า การกินมังสวิรัติมีข้อจำกัดน้อยกว่าการกินเจค่ะ เพราะว่ามังสวิรัติสามารถบริโภคนมได้ แถมบางคนยังบอกอีกว่า หากไข่ไก่ที่ยังไม่ได้ถูกผสมเชื้อตัวผู้เข้าไป ยังสามารถบริโภคได้ด้วย แต่อาจจะลำบากอยู่สักหน่อย ที่จะนำไข่ไก่ไปพิสูจน์ก่อน ว่าปราศจากมลทินของไก่เพศผู้ หรือไม่จึงค่อยนำไปประกอบอาหารนะคะ ส่วนอาหารเจนั้น นอกจากห้ามบริโภคเนื้อสัตว์แล้ว นม และผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ก็ห้ามด้วยเช่นกัน และที่สำคัญผัก 5 ชนิดที่มีกลิ่นฉุน และรสชาติที่เผ็ดร้อน ได้แก่ หอม กระเทียม กุ๋ยช่าย ใบยาสูบและลักเกียว ซึ่งเป็นเครื่องเทศจีนชนิดหนึ่งลักษณะคล้ายขิงค่ะ กลิ่นจะฉุนมาก บางแห่งห้ามแม้กระทั่งผักชี เพราะผักพวกนี้มีสรรพคุณ ไปกระตุ้นอารมณ์เซ็กส์ได้ค่ะ หากอยู่นอกช่วงเวลาของการกินเจก็อาจจะดีทีเดียวนะคะ เพราะว่าผักพวกนี้ถูกสตางค์กว่าไวอากร้าเยอะเลยค่ะ แต่หากบริโภคกันเข้าไปทั้ง 5 ชนิดพร้อมกัน แม่อบเชยว่า กลิ่นอันรุนแรงของมัน อาจจะทำให้อีกฝ่ายตายได้ ก่อนที่จะมันจะออกฤทธิ์อย่างอื่นก็ได้นะคะ
รับประทานอาหารเจแล้วจะเกิดภาวะขาดสารอาหารหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรากินแบบเคร่งครัดเกินไปหรือไม่นะคะ และที่สำคัญ แม้จะกินอย่างเคร่งครัดแต่ว่ากินเพียง 9-10 วัน ในช่วงเทศกาลนี้เท่านั้น ก็ยิ่งไม่ต้องวิตกกังวลอะไรเลยค่ะ แต่หากกินเจไปตลอดชีวิตสิคะ ควรแก่การมาทบทวนกันดูอีกสักหน่อย เพราะแม้ว่าถั่วเหลืองนั้น จะมีคุณค่าทางโภชนาการแทนอาหารเนื้อสัตว์ได้นั้น ก็ใช่ว่าสามารถแทนได้ทั้งหมด โปรตีนบางชนิดที่ถั่วเหลือง ไม่สามารถให้กับร่างกายมนุษย์ได้ ก็มีเหมือนกันค่ะ
ลองมาดูสรรพประโยชน์ของอาหารเจกันดูนะคะ อาหารเจเป็นอาหารที่ย่อย ง่ายค่ะ เพราะส่วนประกอบเกือบทั้งหมด ประกอบด้วยไขมันอิ่มตัวในปริมาณต่ำ เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ความดันโลหิตสูงนะคะ รวมทั้งคนที่เป็นเก๊าท์ด้วยค่ะ อาหารเจประกอบไปด้วย เส้นใยไฟเบอร์เยอะแยะไปหมดค่ะ ดังนั้นจึงไม่มีเวลาตกค้าง เป็นของเสียในร่างกายเราได้นานนัก เพราะมันจะถูกขับออกมาในระยะเวลาที่ เหมาะสมกับ ระบบย่อยอาหารของเรามากที่สุด ดังนั้นผู้ที่รับประทานอาหารเจ จึงไม่เคยประสบปัญหาเรื่องท้องอืดท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยวหรือว่าท้องผูกเลยค่ะ และที่สำคัญช่วยป้องกัน โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เป็นอย่างดีด้วยนะคะ
อาหารประเภทที่ตรงข้ามกับเจนั้นเรียกกันว่า "อาหารชอ" นะคะ จะมีอาหารเจหลายอย่างมากค่ะ ที่พยายามทำหน้าตา ให้คล้ายอาหารชอมากที่สุดก็ดีนะคะ ในแง่ที่ว่าช่วยให้ผู้บริโภคเจนั้น สามารถเอร็ดอร่อยกับอาหารได้มากขึ้น เพราะคนเรานั้น อย่างไรเสียก็ยังยึดมั่นกันอยู่กับรูปร่างภายนอก กระทั่งของที่จะกินเข้าไป เพื่อให้ตัวเองรู้จักการลดละเลิก ก็ยังไปผูกพันอยู่กับกิเลสภายนอกจนได้ เรื่องอย่างนี้ก็พูดยากเพราะว่า เรื่องของใจอะไรก็แทนไม่ได้….นั่นเองค่ะ…
สำหรับการประกอบอาหารเจนั้น อาจจะมีหลักการยุ่งยากไปอยู่สักหน่อย สำหรับหลายคนที่ไม่มีเวลา แต่ปัญหาดังกล่าวนี้ก็จะหมดไปทันทีค่ะ เพราะว่าอีกไม่กี่วันเราก็คงเห็นธงสีเหลืองปลิวไสว ไปทั่วตลาดร้านรวงต่างๆ แล้ว สัญลักษณ์ของอาหารเจ อาหารบริสุทธ์จะปักธงสามเหลี่ยมสีเหลือง ให้สังเกตได้อย่างง่ายดายเทศกาลกินเจปีนี้ ลองตรึกตรองถึงความหมายที่แท้จริงกันอีกสักทีนะคะ อย่าเป็นแต่เพียงว่าตามกระแสนิยม หรือรอคอยดูม้าทรงในเทศกาลที่น่าหวาดเสียวนั่นเลยนะคะ แล้วจะซาบซึ้งถึงคุณค่าของการกินเจอย่างแท้จริงค่ะ
เรื่องหนึ่งที่เคยเป็น Hot Issue ประจำเทศกาลกินเจในประเทศไทย ไม่มีอะไรเกินหน้าเกินตา เรื่องซอสถั่วเหลืองที่มีสารปนเปื้อนค่ะ กระแสแรงมากจนเคยเกือบถูกต่างชาติ สั่งห้ามนำเข้าซอสถั่วเหลืองจากประเทศไทย ในช่วงเทศกาลกินเจกันเลยทีเดียวนะคะ เพราะมีข่าวว่ามีการใช้สารตั้งต้น ในกระบวนการผลิตที่อาจจะก่อให้เกิดมะเร็ง ได้นั่นเองค่ะ จากคำชี้แจงของผู้เชียวชาญด้านโภชนอนามัยได้อธิบายไว้ว่า สาร 3MCPD ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดมะเร็งอย่างที่เข้าใจนั้น ไม่ว่าจะผลิตซอสในประเทศไทย ประเทศจีนหรือว่าสหรัฐฯ ก็ตาม ก็ย่อมมีสาร 3MPCD ทั้งนั้น เพราะว่าสารดังกล่าว จะเกิดขึ้นจากการหมักในกระบวนการผลิตค่ะ หากจะหลีกเลี่ยง กระบวนการนี้ก็คงไม่ได้ เพราะการทำซอสจากถั่วเหลือง จะต้องมีการหมักถั่วเหลือง นาน 4-6 เดือนเชียวค่ะจึงจะได้ที่ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้แจงให้ชัดเจนแล้วว่า ซอสถั่วเหลืองที่เป็นซีอิ๊วนั้น ไม่ได้มีสารปนเปื้อนที่น่ากลัวอย่างที่เข้าใจ แต่สิ่ง ที่น่าเป็นห่วงจริงๆ กลับคือซอสปรุงรส ที่ผลิตจากการผสมถั่วเหลือง กับกรดเกลือและใช้เวลาเพียง 3-4 วันเท่านั้นในกระบวนการผลิต ดังนั้นสารที่อาจจะตกค้างและ ไม่ปลอดภัยนักก็น่าจะเป็นกรดเกลือนั่นมากกว่าค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม (อีกที) นะคะ จากมาตรฐานการยอมให้มีสารตกค้าง อยู่ในผลิตภัณฑ์ได้ไม่เกิน 18 mg. นั้น ผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมการผลิตของบ้านเรา จึงปลอดภัยแน่นอน เพราะเรามีปริมาณตกค้างอยู่ต่ำกว่านั้นถึง 18 เท่าเชียวค่ะ แม่อบเชยหวังว่าคุณผู้อ่านจะสบายใจในการบริโภคซอส และซีอิ๊วในเทศกาลกินเจปีนี้ได้แล้วนะคะ
เรื่องของการกินเจนี้ บางคนก็เคร่งครัดกับการเลือกสรรอาหาร จนกลายเป็นคนจุกจิกเรื่องมาก จนคนเคียงข้างปั่นป่วนไปหมด แต่แม่อบเชยก็ไม่กล้าฟันธงลงไปหรอกนะคะ ไม่เหมาะไม่ควร เพราะว่าเรื่องของศรัทธานั้น เป็นเรื่องที่ปัจเจกเหลือเกิน แต่อยากให้นึกถึง มัชฌิมปฏิปทา หรือทางสายกลางไว้สักหน่อยนะคะ เพราะว่า อะไรที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป ย่อมไม่พอดี หรอกค่ะ หวังว่าเทศกาลเจปีนี้จะอิ่มบุญกันถ้วนหน้า สุขภาพดีกันทุกคนนะคะ
ขอบคุณที่มา : http://www.thaifooddb.com/article/article072.html
เข้าชม : 2331 |