เรื่อง การป้องกัน และกำจัดโรครากในยางพารา
มารู้จักกับโรครากกันเถอะ
โรคที่เกิดกับระบบรากของยางพาราในประเทศไทยที่สำคัญ มี 3 ชนิด คือโรครากขาว(white root disease) โรครากน้ำตาล (brown root disease) และโรครากแดง (red root disease) มีสาเหตุจากเชื้อราชั้นสูงจำพวกเห็ด โรครากขาวเป็นโรครากที่สำคัญที่สุดของยางพารา พบทำความเสียหาย และแพร่กระจายทั่วไปในพื้นที่ปลูกยางภาคใต้ของประเทศไทย
ความสำคัญ
ทำลายระบบรากทำให้ต้นยางที่เป็นโรคตาย หากปล่อยไว้โดยไม่จัดการทำให้มีการแพร่ลุกลาม เกษตรกรสูญเสียรายได้จากผลผลิตน้ำยาง และไม้ยางมากขึ้นทุกปี นอกจากนี้จะกระทบต่อแปลงปลูกใหม่ทำให้ต้นยางปลูกใหม่เป็นโรครุนแรงมากกว่าเดิม ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างใหญ่หลวงในอนาคต
การสูญเสียรายได้ผลผลิตน้ำยาง และไม้ยาง
ผลผลิตน้ำยาง 1 ไร่ เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 280 กิโลกรัม/ปี
- ได้รายได้ประมาณ 19,600 บาท/ไร่/ปี (ราคา 70 บาท/กก.)
- ต้นยาง 1 ต้น ได้รายได้ 19,600 บาท /70 ต้นต่อไร่ = 280 บาท/ต้น/ปี
หากไม่มีการจัดการ โอกาสที่จะมีต้นยางตายเพิ่มปีละประมาณ 25% ของต้นที่ตาย
ตัวอย่าง สวนยางอายุ 8 ปี ในปี 2551 พบมีต้นยางตาย 20 ต้น จะสูญเสียรายได้ประมาณ 5,600 บาท และหากกรีดต่อไปจนยางอายุ 18 ปี แล้วโค่นปลูกใหม่ จะสูญเสียรายได้ดังตาราง
ปี
|
จำนวนต้นตายเพิ่ม
|
รวมต้นตาย
|
รายได้จากน้ำยาง
|
2551(8 ปี)
|
-
|
20
|
5,600
|
2552
|
5
|
25
|
7,000
|
2553
|
6
|
31
|
8,680
|
ข้อสังเกตต้นยางพารา และแปลงยางที่เป็นโรคราก
1. แปลงปลูกยางมีต้นยางยืนต้นตาย และมีพื้นที่ว่างเป็นหย่อมๆ
2. มีต้นยางที่ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองในบางกิ่งหรือทั้งทรงพุ่ม โดยในต้นยางขนาดเล็กจะพบใบยางส่วนล่างแสดงอาการผิดปกติก่อน ใบยางที่ผิดปกติเนื่องจากโรครากจะมีลักษณะขอบใบห่อลงเล็กน้อย ใบค่อนข้างหนาเป็นคลื่นเล็กน้อย และเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เมื่อระบบรากถูกทำลายอย่างรุนแรงจะทำให้พุ่มใบยางเหลืองทั้งต้น ใบร่วง และยืนต้นตาย
สวนยางที่เป็นโรค
สวนยางที่เป็นโรค
ยางอายุ 1.5 ปี
สวนยางที่เป็นโรคราก
3. ที่โคนต้นและราก จะพบเส้นใยของเชื้อราเจริญปกคลุม ในช่วงที่มีความชื้นสูงอาจพบดอกเห็ด
4. ในต้นยางที่ปลูกใหม่ หากพบต้นยาง อายุน้อยกว่า 2 ปี แสดงอาการใบเหลืองและยืนต้นตายเนื่องจากโรคราก มักพบตอไม้หรือตอยางเก่าบริเวณใกล้เคียง
โรคราก แบ่งออกเป็น 3 ชนิดดังนี้
1. โรครากขาว(White root disease)
ในแปลงยางปลูกใหม่มักพบการระบาดของโรครากขาวเป็นอันดับแรก โรคลุกลามและระบาดได้เร็ว ทำความเสียหายแก่สวนยางได้มากกว่าโรครากชนิดอื่น
เชื้อสาเหตุ
เชื้อรา Rigidoporus microporus (Sw.) Overeen (1924)
[ R. lignosus (Klozsch) Imazeki] (1952)
ลักษณะอาการ
หากในแปลงปลูกมีแหล่งเชื้อเดิมอยู่สามารถพบต้นยางเป็นโรคได้ตั้งแต่เริ่มปลูก เมื่อระบบรากถูกทำลายจะแสดงอาการให้เห็นทางใบ
ลักษณะโคนต้นและรากที่เป็นโรค จะเห็นเส้นใยของเชื้อราชัดเจน โดยเส้นใยอ่อนมีลักษณะสีขาวค่อนข้างหยาบ ปลายแบน เส้นใยแก่มีลักษณะเป็นเส้นกลมนูนสีส้มเรียกว่า ไรโซมอร์ฟ (rhizomorph) เชื้อราจะเจริญปกคลุมและเกาะติดแน่นกับผิวราก
ลักษณะเส้นใยอ่อน ลักษณะเส้นใยแก่
ลักษณะเนื้อไม้ของราก ในระยะแรกเนื้อไม้จะแข็ง สีขาว ในระยะรุนแรงจะเป็นสีขาวครีม เนื้อไม้ฟ่าม เบา และยุ่ย ลักษณะดอกเห็ด ในช่วงที่มีความชื้นสูงจะพบดอกเห็ดบริเวณโคนต้นและรากที่โผล่พ้นดินในต้นยางที่เป็นโรครุนแรง ลักษณะเป็นแผ่นครึ่งวงกลม ไม่มีขน ไม่มีก้านชูดอก(stalk)ดอกอ่อนจะลื่นเหมือนหนัง ดอกแก่แข็งกระด้าง สีของดอกด้านบนจะมีสีส้มแก่และสีส้มอ่อนสลับกันเป็นวง ขอบดอกสีขาว สีของดอกเป็นสีส้มอ่อนและมักขึ้นซ้อนกันเป็นชั้นๆ จำนวนดอกเห็ดและขนาดขึ้นกับความชื้นในบริเวณนั้นและอายุของดอก
ลักษณะเนื้อไม้ (เนื้อไม้ฟ่าม) ลักษณะเนื้อไม้ของราก
ลักษณะดอกเห็ด
โรครากขาวในไม้ผล
2. โรครากน้ำตาล (Brown root disease)
มักพบในสวนยางที่อายุมากในสวนยางที่มีต้นยางหักโค่น โดยทั่วไปความรุนแรงจะน้อยกว่าโรครากขาว ปัจจุบันเริ่มพบโรคในแปลงยางปลูกใหม่มากขึ้น
เชื้อสาเหตุ
เชื้อรา Phellinus noxius (Corner) G.H. Cunningham(1965)
[ Fomes noxius Corner, 1932 ]
ลักษณะอาการ
ลักษณะโคนต้นและรากที่เป็นโรค บริเวณผิวรากและโคนต้นที่เป็นโรคจะมีลักษณะขรุขระ โดยเชื้อราจะเจริญปกคลุมผิวรากและเกาะยึดดินและทรายไว้ จะพบเส้นใยของเชื้อราสีขาวค่อนข้างละเอียดในเปลือกไม้ และเส้นใยละเอียดสีน้ำตาลคล้ายกำมะหยี่บริเวณผิวรากและดินที่ปกคลุมผิวราก
ลักษณะเนื้อไม้ของรากที่เป็นโรค ในระยะแรกเนื้อไม้จะเป็นสีน้ำตาลอ่อน ต่อมาเป็นสีขาวซีดมีสีน้ำตาลเป็นรอยประในเนื้อไม้ ผิวของเนื้อไม้ใต้เปลือกไม้และในเนื้อไม้จะมีเส้นสีน้ำตาลดำเป็นลายเส้นเดี่ยว และมีเส้นใยคล้ายเส้นด้ายแทรกอยู่ในเนื้อไม้ตามความยาว รากที่เป็นโรคมานานจะฟ่ามและแห้งมีลักษณะคล้ายรวงผึ้ง มักมีเส้นใยของเชื้อราสีขาวครีมค่อนเหลืองเจริญอยู่
ลักษณะดอกเห็ด มักจะพบดอกเห็ดบนตอไม้ที่หักโค่นแล้วในช่วงที่มีความชื้นสูง ดอกเห็ดเป็นแผ่นหนา แข็ง และเปราะ ไม่มีก้านชูดอก ดอกอ่อนจะเห็นขอบขาวชัดเจน เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาล ผิวดอกด้านบนเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำหากดูด้วยแว่นขยายจะเห็นผิวดอกเป็นขนสีน้ำตาลสั้นๆ(setae) ส่วนผิวดอกด้านล่างเป็นสีเทาเข้ม
พืชอาศัยโรครากน้ำตาล
มีมากกว่า 153 ชนิด พืชปลูกที่สำคัญเช่น มะฮอกกานี สัก ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ชา กาแฟ และโกโก้ นอกจากนี้เป็นพืชผลไม้ต่างๆ พืชจำพวก nut และ พืชไม้ประดับต่างๆ
3. โรครากแดง (Red root disease)
มักพบในสวนยางที่มีตอและรากไม้ใหญ่ฝังลึกอยู่ในดิน เชื้อราเจริญค่อนข้างช้าจึงมักพบในต้นยางที่กรีดได้แล้ว
เชื้อสาเหตุ
เชื้อรา Ganoderma pseudoferreum (Wakef) Over & Steinm,1925]
[G. philippii (bres.& Henn. Ex Sacc.) Bres.(1932)
ลักษณะอาการ
ลักษณะโคนต้นและรากที่เป็นโรค บริเวณผิวรากและโคนต้นที่เป็นโรคจะมีลักษณะขรุขระ คล้ายโรครากน้ำตาล เส้นใยอ่อนของเชื้อราเป็นสีขาวครีมละเอียดมาก เส้นใยแก่เจริญจับกันบนผิวรากเป็นแผ่นสีน้ำตาลแดงเป็นมันวาวเห็นได้ชัดเจนเมื่อล้างน้ำ
ลักษณะเนื้อไม้ของรากที่เป็นโรค ในระยะแรกเนื้อไม้จะเป็นสีน้ำตาลซีด ต่อมาเป็นสีขาวครีม ลักษณะเนื้อไม้คล้ายโรครากขาว แต่ต่างกันที่เนื้อไม้ของโรครากแดงจะแยกออกเป็นแผ่นตามวงปี
ลักษณะดอกเห็ด มักจะพบดอกเห็ดที่โคนต้นยางที่ตายเนื่องจากโรคในช่วงที่มีความชื้นสูง อาจพบดอกเห็ดขึ้นที่ลำต้นสูงกว่า 150 ซม. ลักษณะดอกเห็ดเป็นแผ่นหนา แข็ง ครึ่งวงกลม ดอกแก่ค่อนข้างใหญ่ ผิวดอกด้านบนเป็นสีน้ำตาลเข้ม ขอบดอกและผิวด้านล่างเป็นสีขาวครีม
การเกิดโรค และการแพร่ลุกลามของโรครากยางพารา
1. จากแหล่งเชื้อนั่นคือรากไม้ และตอไม้ที่ถูกปล่อยทิ้ง หรือถูกฝังอยู่ในดิน เชื้อราโรครากสามารถมีชีวิตอยู่ในรากไม้ที่ถูกฝังอยู่ในดินได้นานกว่ารากไม้ที่ถูกทิ้งอยู่เหนือพื้นดิน จากการศึกษาพบว่าเชื้อราโรครากขาวสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในรากไม้ขนาดยาว 6 ซม. และเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ซม.ได้ถึง 6 เดือน ในขณะที่รากไม้ที่อยู่เหนือพื้นดิน เชื้อรามีชีวิตอยู่ได้เพียง 5 สัปดาห์เท่านั้น
เมื่อรากยางที่ปลูกใหม่เจริญไปสัมผัสกับแหล่งเชื้อที่มีชีวิต จะทำให้รากติดเชื้อและลุกลามเข้าสู่รากแก้ว ทำให้ต้นยางเป็นโรค ตาย และ เป็นแหล่งเชื้อแหล่งใหม่แพร่สู่ต้นข้างเคียงต่อไป
ตอยางที่ไม่ขุดออกทำให้เชื้อราที่มีอยู่แล้วแพร่กระจายและลุกลามติดต่อไปยังต้นยางที่ปลูกใหม่ได้
2. จากสปอร์ของเชื้อราซึ่งมีปะปนอยู่ทั่วไปในอากาศ และดอกเห็ด แพร่โดยลม น้ำ และแมลง สปอร์สามารถงอกและเข้าเจริญในเนื้อไม้ของตอไม้สดที่ถูกตัดโค่นและปล่อยทิ้งอยู่ในแปลง ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งเชื้อได้ต่อไป นอกจากนี้หากมีความชื้นที่เหมาะสมสปอร์ของเชื้อราสามารถเจริญเป็นเส้นใยเข้าทำลายรากยางและโคนยางได้ด้วย
3. จากการสัมผัสของรากที่เป็นโรคกับรากของต้นยางข้างเคียง ซึ่งรากของต้นยางที่เป็นโรคจะกลายเป็นแหล่งเชื้อแพร่ขยายลุกลามต่อไปทั้งในระหว่างต้นและในระหว่างแถว
การควบคุมโรคราก
หลักการควบคุมและจัดการโรคราก
1. การทำให้แหล่งเชื้อโรคลดลงให้มากที่สุด
2. กำจัดและรักษาต้นเป็นโรค
3. จำกัดบริเวณโรคไม่ให้แพร่ลุกลาม
1. การทำให้แหล่งเชื้อโรคลดลงให้มากที่สุด
ช่วงเตรียมแปลงปลูก
เพื่อลดแหล่งเชื้อและเชื้อสาเหตุของโรค
- โค่น ขุดราก ไถพลิกเก็บเศษรากไม้ เผา ไถพลิกหน้าดิน ตากแดด แม้จะเป็นรากไม้ เศษไม้ขนาดเล็ก หากฝังอยู่ในดิน เชื้อราสามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน
- สารฆ่าตอ : สารกำจัดวัชพืชไตรโคลเพอร์(การ์ลอน 61%) ผสมน้ำ หรือน้ำมันโซล่า ให้ส่วนผสม 10% ป้องกันสปอร์ของเชื้อราโรครากเจริญ และทำให้ตอผุพังเร็วขึ้น
-ในกรณีแปลงปลูกเดิมมีประวัติเป็นโรครากมาก่อน หลังโค่นในช่วง 1-2 ปีแรก ไม่ปลูกยางแต่ปลูกพืชอายุสั้นทดแทน เพื่อให้ตอไม้รากไม้ผุพังหรือย่อยสลายเชื้อราก็จะถูกย่อยสลายไปด้วย
ช่วงปลูก
- เพื่อกำจัดเชื้อและป้องกันต้นยางปลูกใหม่ติดเชื้อ ปฏิบัติได้โดย
- ผสมดินปลูกด้วยกำมันผง 100-200 กรัมต่อหลุม(50x50x50 ซม.)
โดยผสมกับดินปลูก ทิ้งไว้ในหลุมก่อนปลูกยางประมาณ 0.5-1 เดือน หากปลูกพร้อมทันทีหลังผสมดินปลูกกำมะถันจะเป็นพิษกับรากยาง ทำให้ต้นยางปลูกใหม่ตายได้
- แม่ปุ๋ยที่มีแนวโน้มมีศักยภาพในการป้องกันกำจัดเชื้อบริเวณหลุมปลูกได้เช่นเดียวกับกำมะถัน คือยูเรีย(46-0-0) และ แอมโมเนียมซัลเฟต(21-0-0+24S)
ผสมกับดินปลูกอัตรา 200 กรัมต่อหลุม(50x50x50 ซม.) โดยยูเรียให้ผสมกับดินปลูก ทิ้งไว้ในหลุมประมาณ 0.5-1 เดือน ก่อนปลูกต้นยาง
2. การกำจัด รักษา และควบคุม
หากพบ ต้นยางใบเหลือง ต้นตาย ปฏิบัติโดย
- ตรวจสอบสาเหตุ เส้นใยเชื้อรา ลักษณะราก ลักษณะการทำลาย ลักษณะดอกเห็ด
- ต้นที่แสดงอาการรุนแรงแสดงอาการทางพุ่มใบเหลือง รากและโคนต้นถูกทำลายมากกว่า 60% ให้ตัดต้น กำจัดรากและตอ หรือใช้สารเคมีราดกำจัดเชื้อในต้น
-ใช้สารเคมีรักษาต้นที่เป็นโรคไม่รุนแรงมาก และต้นที่อยู่ข้างเคียงเพื่อป้องกัน โดยตรวจสอบโคนต้น หรือราก หากยังไม่เข้าทำลายรากแก้ว ให้ตัดรากแขนงที่พบโรค และราดสารเคมีรักษา และ ราดสารเคมีในต้นยางถัดเข้าไปอีกอย่างน้อย 1-2 ต้น
1. โดยการใช้สารเคมี
การเตรียมต้นยางก่อนการใช้สารเคมี
1. เตรียมขุดดินรอบโคนต้นยาง ให้รากยางโผล่ขึ้นมา และขุดให้เป็นบริเวณกว้างจากโคนต้น
ประมาณ 50ซม.
สารเคมีและอัตราที่ใช้ป้องกันกำจัดโรคราก
ชื่อสามัญ
|
ตัวอย่างชื่อการค้า
|
%สารออกฤทธิ์
|
อัตราการใช้
|
วิธีการใช้
|
ไตรดีมอร์ฟ
(tridemorph)
|
คาลิกซิน
|
75%EC
|
10-20 ซีซีต่อน้ำ 2 ลิตร
|
ขุดร่องรอบโคนต้นยางกว้าง 15-20 ซม. รดหรือราดสารเคมีที่ผสมน้ำต้นละ 2-3 ลิตรขึ้นกับขนาดของโคนต้น ใช้สารเคมีอย่างน้อย 2 ครั้งระยะห่าง 6 เดือน
|
ไซโพรโคนาโซล
(cyproconazole)
|
อัลโต
|
10%SL
|
โพรพิโคนาโซล
(propiconazole)
|
ทิลท์
โพรพิโคนาโซล
|
25%EC
|
5-10 ซีซีต่อน้ำ 2 ลิตร
|
เฮกซาโคนาโซล
(hexaconazole)
|
เอนวิล
เฮกเซล
|
5%EC
|
10 ซีซีต่อน้ำ 1 ลิตร
|
ตัวอย่างสารเคมี ชื่อทางการค้า
รูปภาพขั้นตอนการผสมสารเคมี
- ผสมสารเคมี ในอัตราส่วนตามตารางข้างต้น
- ผสมสารเคมีกับน้ำสะอาด แล้วกวนนาน 5 นาที
3. จะได้น้ำสีขาวขุ่น
4. ตวงสารเคมีใส่บัวรดน้ำ ปริมาณ 2 ลิตรต่อหนึ่งต้น
5. รดสารเคมีที่รอบโคนต้น ให้สารเคมีขังอยู่ที่โคนต้น และจะดูดซึมไปเอง
เนื่องจากสารเคมีดังกล่าวเป็นสารเคมีประเภทดูดซึม
การราดสารเคมี หลังจากราดสารเคมี
6. หลังจากราดสารเคมีแล้ว บริเวณรากที่ติดเชื้อ เชื้อราจะตาย บริเวณที่ติดเชื้อเป็นสะเก็ด และรากเล็ก ๆ งอกขึ้นใหม่
7. หลังจากนั้น 4-6 เดือน ให้ราดซ้ำอีก ครั้งเพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อ
ข้อความระวังในการใช้สารเคมี
- เป็นสารอันตราย ควรควรใส่ถุงมือ และร้องเท้าบูธ
- สารเคมีเป็นกลุ่มสารเคมีชนิดดูดซึม ดังนั้น การจะต้องหลีกเลี่ยงฝน อย่างน้อย 3 ชม หลักรดสารเคมี
ค่าใช้จ่ายในการใช้สารเคมี จากวันที่ทำการทดลอง
ไซโพรโคนาโซล (cyproconazole) จำนวน 100 ซีซี คิดเป็นเงิน 250.- บาท ผสมน้ำ 20 ลิตร ราดต้นละ 2 ลิตร จะใช้ได้ 10 ต้น ดังนั้น เฉลี่ยค่าใช้จ่ายต้นละ 25.- บาท / ครั้ง
3. จำกัดบริเวณโรคไม่ให้แพร่ลุกลาม
- ต้นยางอายุน้อยกว่า 3 ปี หากเป็นโรครากรุนแรงคือพุ่มใบเหลืองและร่วง ควรขุดรากเผาทำลายให้หมดเพื่อยับยั้งและทำลายแหล่งเชื้อ
- ต้นยางที่อายุมากกว่า 3 ปี ควรขุดคูกั้นถัดจากต้นแสดงอาการทางใบไปทางหัวและท้ายในแถวเดียวกันข้างละ 2 ต้น และกึ่งกลางระหว่างแถวข้างเคียงกับแถวถัดไปทั้ง 2 ข้าง เพื่อป้องกันการสัมผัสกันของราก และควรขุดลอกทุกปี
ค่าใช้จ่ายในการขุดคู
ค่าจ้างรถแบ๊คโฮ ในขณะดำเนินการ ชั่วโมงละ 800.- บาท โดยลักษณะการขุดแต่ละแปลงที่เป็นโรคนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพการแพร่กระจายของโรค ระยะเวลาในการขุดคู แต่ละแปลงจึงไม่เท่ากัน
4. การป้องกันเชื้อราโดยวิธี “ชีววิธี”
วัสดุที่ใช้
- สารเร่งซุปเปอร์ พด. 3 จำนวน 1 ซอง (25 กรัม)
- ปุ๋ยหมัก จำนวน 100 กก.
- รำละเอียด จำนวน 1 กก.
ภาพแสดงขั้นตอนการทำ
1. ภาพจริงส่วนผสม
2. เทปุ๋ยหมัก ตามอัตราข้างต้น
3. ละลาย พด.3 1 ซอง ในน้ำสะอาด และผสมรำละเอียด 1 กก.คนให้เข้ากัน 5 นาที เพื่อให้เชื้อใน พด. ตื่นตัว
4. รดน้ำพด. ที่ผสมแล้วในกองปุ๋ยหมัก กวนผสมกัน ให้มีความชื้นพอปั้นปุ๋ยหมักเป็นก้อนได้
5. คลุมไม่ให้ความชื้นระเหย หลังจากนี้ 7วัน ให้เปิดดู จะมีเชื้อราสีขาวขึ้น
6. นำเชื้อที่ได้ไปใส่ที่โค่นต้นยาง ต้นละ 3-5 กก.
ค่าใช้จ่ายวิธี “ชีววิธี” ณ วันที่ดำเนินการ
ค่าปุ๋ยหมัก กิโลกรัมละ 3.- บาท จำนวน 100 กก. เป็นเงิน 300.- บาท
รำละเอียด กิโลกรัมละ 7.- บาท จำนวน 1 กก. เป็นเงิน 7.- บาท
สาร พด.3 (จาก สนง.พัฒนาที่ดิน ) -
รวม 307.- บาท
หลักจากหมักไว้ 7 วัน เกิดเชื้อ ส่วนผสมที่ได้ประมาณ 100 กก. นำปโรยที่โคนต้นยาง ต้นละ 3 กก. ได้ประมาณ 33 ต้น
ดังนั้น ค่าใช้จ่ายต่อต้น เป็นเงิน 9.30 บาท
|